ดาวโจนส์ปิดบวก 188.59 จุด หุ้นเทค-ค้าปลีกหนุนตลาด

IQ> ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 188.59 จุด หุ้นเทค-ค้าปลีกหนุนตลาด
ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (29 พ.ย.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกได้รับความสนใจ เนื่องจากฤดูกาลชอปปิงช่วงวันหยุดได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,910.65 จุด เพิ่มขึ้น 188.59 จุด หรือ +0.42%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,032.38 จุด เพิ่มขึ้น 33.64 จุด หรือ +0.56% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,218.17 จุด เพิ่มขึ้น 157.69 จุด หรือ +0.83%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.39%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.06% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 1.13%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการในวันพฤหัสบดี (28 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า และมีการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ ซึ่งเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของเดือนพ.ย.
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ได้ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ขึ้นด้วย
หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) พุ่งขึ้น 2% ขณะที่หุ้นเทสลา (Tesla) พุ่ง 3.7%.
บรรดานักลงทุนจับตาการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันแบล็กฟรายเดย์ (Black Friday) ซึ่งมีการลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ โดยอะโดบี อนาไลติกส์ (Adobe Analytics) ประเมินว่า ผู้บริโภคจะใช้จ่ายออนไลน์สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.08 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9.9% จากช่วงแบล็กฟรายเดย์ของปีที่แล้ว
หุ้นทาร์เก็ต (Target) พุ่งขึ้น 1.7% และหุ้นเมซีส์ (Macy's) พุ่ง 1.8%
หุ้นชิปดีดตัวขึ้นด้วย หลังจากร่วงลงเมื่อวันพุธ โดยดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟียพุ่งขึ้น 1.5%
หุ้นกลุ่มคริปโทฯ ปรับตัวขึ้นตามการพุ่งขึ้นของบิตคอยน์ โดยหุ้นมารา โฮลดิงส์ (MARA Holdings) พุ่งขึ้น 1.9%
ส่วนหุ้นแอพพลายด์ เธอราพิวติกส์ (Applied Therapeutics) ร่วง 76% หลังจากที่องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ปฏิเสธการอนุมัติยาของบริษัทสำหรับการรักษาโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก (genetic metabolic)
ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อต้นเดือนนี้ และการที่พรรครีพับลิกันของเขาที่ชนะเสียงข้างมากในทั้งสองสภาคองเกรส ได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินความคาดหวังว่า นโยบายสนับสนุนธุรกิจของทรัมป์อาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลว่านโยบายดังกล่าวอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ, ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ข้อมูลจาก FedWatch ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ แต่คาดว่าเฟดจะหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนม.ค.
โดย กัลยาณี ชีวะพานิช
✍ คอมเม้นต์ได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น (ช่องกรอกจะปรากฎเมื่อล็อกอินแล้ว)
✍ คอมเม้นต์จะปรากฎเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้ดูและระบบ (มีระบบแจ้งเตือนเพื่อให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบโดยเร็ว)
✍ กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยความสุภาพ