
IQ> ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 141.74 จุด ฟื้นตัวหลังร่วงหนักระหว่างวัน
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ค. 68)--ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (30 เม.ย.) โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ฟื้นตัวในช่วงท้ายตลาด หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,669.36 จุด เพิ่มขึ้น 141.74 จุด หรือ +0.35%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,569.06 จุด เพิ่มขึ้น 8.23 จุด หรือ +0.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,446.34 จุด ลดลง 14.98 หรือ -0.09%
ในช่วงแรก ดัชนีดาวโจนส์ร่วงหลุดจากระดับ 40,000 จุด หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยการประมาณการครั้งที่ 1 ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2568 โดยระบุว่า GDP หดตัวลง 0.3% หลังจากที่มีการขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 4/2567 โดยการหดตัวลงของ GDP ในไตรมาส 1 ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งได้พากันปรับลดคาดการณ์รายได้และบางรายได้ระงับการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร
ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ลดช่วงลบในเวลาต่อมา และดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) และดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ทรงตัวในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อกลับสูงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้น ปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนมี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5%
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวขึ้น 0.89% ตามด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น 0.74% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 2.61% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดิ่งลง 1.11%
ตลอดเดือนเม.ย. ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 3.17% ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเดือนที่สาม ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง 0.76% ส่วนดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.85%
นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ โดยเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) จะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 129,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 228,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.2% ในเดือนเม.ย.
โดย รัตนา พงศ์ทวิช