TU หั่นเป้ายอดขายปี 68 เป็นหดตัว 1-2% จากเดิมคาดโต 1-3% รับพิษภาษี "ทรัมป์"

IQ > *TU หั่นเป้ายอดขายปี 68 เป็นหดตัว 1-2% จากเดิมคาดโต 1-3% รับพิษภาษี "ทรัมป์"
Mon, 4 Aug 2025 13:24:43
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (4 ส.ค. 2568)-- บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] ระบุว่าภายหลังการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยโดยสหรัฐฯ ในอัตรา 19% เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 บริษัทปรับประมาณการเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 ใหม่ โดยคาดว่ายอดขายจะติดลบ 1-2% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 1-3% TU ระบุว่าเมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% กับทุกประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.68 แม้ว่าภาษีศุลกากร (Reciprocal tariff) ของประเทศอื่น ๆ จะกำหนดให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย.ในตอนแรก แต่ภาษีดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกหลายแห่งและเพิ่มความผันผวนในตลาด อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายดังกล่าว บริษัทฯ จึงได้ปรับประมาณการเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 เพื่อสะท้อนผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และเมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% ซึ่งแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ แต่ช่วยให้เกิดความชัดเจนและผ่อนคลายความกังวลจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่อาจสูงกว่าอัตรานี้มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมของไทยยูเนี่ยน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 68 ให้สะท้อนผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยใช้การคิดอัตราภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ช่วงเดือน เม.ย.-ก.ค. และ 19% ในช่วงเดือน ส.ค.-ธ.ค.68++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++เป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 อัตราภาษีนำเข้าที่ 10% อัตราภาษีนำเข้าที่ 10% (เม.ย. - ก.ค.) (เม.ย. - ธ.ค.) อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% (ส.ค. - ธ.ค.)ยอดขายเติบโต +1 ถึง 3% จากปีก่อน -1 ถึง -2% จากปีก่อนอัตรากำไรขั้นต้น ประมาณ 18.0 ถึง 19.0% ประมาณ 18.5 ถึง 19.5%อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย ประมาณ 13.5 ถึง 14.0% ประมาณ 13.5 ถึง 14.0%อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ไม่เปลี่ยนแปลงงบลงทุน ประมาณ 3.0 ถึง 3.5 พันล้านบาท ประมาณ 3.5 ถึง 4.0 พันล้านบาทอัตราการจ่ายเงินปันผล ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ พร้อมชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 โดยระบุว่าถือเป็นช่วงเวลาที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี TU มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาวให้กับธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ รายงานยอดขายที่ 33,389 ล้านบาท ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน 4.7% และยอดขายจากการดำเนินงานปกติที่ลดลงเล็กน้อย 0.7% โดยมีสาเหตุจากความต้องการซื้อที่ชะลอตัวลงในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง อย่างไรก็ดี ยอดขายจากการดำเนินงานปกติในกลุ่มธุรกิจอื่น ได้แก่ ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นยังคงแข็งแกร่ง โดยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.7% เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กำไรจากการดำเนินงานตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 2,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เอื้อต่อการดำเนินงาน กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุง (ไม่รวม transformation costs) อยู่ที่ 1,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในขณะที่กำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาสสอง พบว่ายอดขายขยายตัวลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน 4.7% และการชะลอตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22% จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐลดลง อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7% ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 4,387 ล้านบาท ปริมาณการขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6% และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3% จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 ส.ค. บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของ TU ในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ นั้นได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19%, 15% และ 10% ตามลำดับ ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย (19%) และ เวียดนาม (20%) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98%ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดย ศศิธร ซิมาภรณ์
Symbols: TU
✅ หลังเข้ากลุ่มแล้ว
• โปรด อย่าเปลี่ยนชื่อกลุ่ม
• งดส่งสติกเกอร์ / รูปภาพไม่เกี่ยวข้อง
• สอบถามเพิ่มเติม ✉️ ทักแอดมินได้ตลอด
ขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคุณภาพครับ 🙏📈
📍ไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น คลิกเข้ากลุ่มเลย!
เข้ากลุ่มแจ้ง เตือน
ทักไปที่ Line นี้ได้นะครับ
Line id : @212ywubo
✍ คอมเม้นต์ได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น (ช่องกรอกจะปรากฎเมื่อล็อกอินแล้ว)
✍ คอมเม้นต์จะปรากฎเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้ดูและระบบ (มีระบบแจ้งเตือนเพื่อให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบโดยเร็ว)
✍ กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยความสุภาพ
}

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น โปรดอ่าน นโยบายคุกกี้ ของเรา หรือ จัดการคุกกี้ ตามต้องการ