🤖 ทดสอบสรุปข่าวโดย Ai 🤖
💳 หุ้น KTC โชว์กำไรครึ่งปี 3,755 ล้านบาท โต 3.5% – คุมต้นทุนดี คุณภาพสินทรัพย์ยังแกร่ง
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 มีกำไรสุทธิ 3,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไตรมาส 2 ทำกำไรได้ 1,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาฐานรายได้และควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รายได้รวมครึ่งปีอยู่ที่ 13,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.7% โดยรายได้ดอกเบี้ยจากพอร์ตสินเชื่อบุคคลและรายได้ค่าธรรมเนียมจากการใช้บัตรยังเติบโตได้ดี ขณะที่ต้นทุนรวมลดลง 3.5% จากการบริหารความเสี่ยงและลดต้นทุนทางการเงิน แม้ต้นทุนการตลาดจะเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรก็ตาม
กลุ่มบริษัทยังแสดงการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีวินัย โดยค่าใช้จ่ายด้านเครดิต (ECL) ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 1,522 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน ส่งผลให้อัตรา NPL ลดลงมาอยู่ที่ 1.83% ขณะที่ Coverage Ratio ปรับเพิ่มเป็น 419.9% แสดงถึงการตั้งสำรองที่เพียงพอและแข็งแรง รองรับความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
พอร์ตสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 107,104 ล้านบาท เติบโต 1.2% จากปีก่อน โดยพอร์ตสินเชื่อบุคคลเติบโต 4.0% ขณะที่บัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 1.0% แม้สินเชื่อตามสัญญาเช่าจะหดตัวกว่า 29% ตามนโยบายหยุดปล่อยใหม่
ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 146,584 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมที่โตเพียง 1.2% ส่งผลให้ KTC เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในทุกกลุ่มหลัก ได้แก่ บัตรเครดิต (15.4%), สินเชื่อบุคคล (6.8%) และปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร (13.3%)
ด้านโครงสร้างเงินทุนยังแข็งแรง โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 1.64 เท่า ลดลงจาก 1.97 เท่าในปีก่อน ขณะเดียวกันยังมีวงเงินกู้ระยะสั้นที่ยังไม่เบิกใช้อีกกว่า 20,000 ล้านบาท ทำให้มีความยืดหยุ่นทางการเงินสูง
แม้แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2568 จะเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง KTC ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ "เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยดิจิทัล" ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี ยกระดับบริการบน KTC Mobile และบริหารความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาฐานลูกค้าและความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง
🔍 บทสรุป
KTC ยังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ด้วยการควบคุมต้นทุนที่ดีและการคัดกรองลูกหนี้อย่างมีวินัย ส่งผลให้อัตรา NPL ต่ำและ Coverage สูง บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแรงและสภาพคล่องสูงเพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจต่อในครึ่งปีหลัง พร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน
